วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ประทับใจหลวงปู่ชา

พระโพธิญาณเถร (หลวงปู่ชา สุภัทโท)

พระธรรมเทศนา โดย..หลวงพ่อไพฑูรย์ ขันติโก (สามเณรรูปแรกของหลวงปู่ชา)

ภาคที่หนึ่ง (มรดกธรรมลำดับที่ ๔๑๔ เทศน์ไว้เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๔)

            เขาถามว่าประทับใจอะไรบ้างเกี่ยวกับหลวงปู่ชา  ไปอยู่กับท่านตั้งแต่เด็กๆ ในตอนต้นๆ ของการสร้างวัดหนองป่าพง  ประทับใจหลวงปู่ชาอย่างไรบ้าง เขาจะเอาไปทำเป็นหนังสือ สิ่งประทับใจหลวงปู่ชาในช่วงที่ไปมอบตัวเป็นลูกศิษย์ของท่าน  เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ 
            ประทับใจหลวงปู่ชา จึงไปมอบตัวเป็นลูกศิษย์ท่าน  ประทับใจว่าท่านเป็นพระกรรมฐาน  สมัยก่อนพระกรรมฐานหายาก  ไม่ค่อยมี  ไม่ค่อยมีชื่อว่าพระกรรมฐาน  มีแต่ชื่อว่าพระธรรมดาสามัญทั่วไปตามบ้าน  วัดป่ายังมีน้อยอยู่  มีแต่น้อยในยุคนั้น  หลวงพ่อชาก็ไม่ค่อยมีใครรู้จักสักเท่าไรหรอก ในช่วงที่ท่านมาอยู่วัดหนองป่าพงก็คือมาโปรดโยมแม่ของท่าน  โปรดญาติทั้งหลาย  มาสร้างสำนักอยู่ใกล้แล้วก็ให้ข้อมูลในรูปแบบศีลธรรม  ธรรมะ  ที่จะให้ได้สัมผัสกับความจริง  ท่านก็จึงมาตั้งสำนักอยู่ที่นั่นคือวัดหนองป่าพง  ท่านเอาโยมแม่ของท่านบวชเป็นแม่ชีแม่ขาวได้  แล้วก็มีบุคคลตามมาอีกหลายท่านซึ่งเป็นผู้หญิง นี่..อย่างนี้เราก็ประทับใจ ประทับใจว่าท่านบวชจูง จูงพ่อจูงแม่จูงญาติพี่น้องได้จริง  ไม่ใช่จูงเมื่อตาย  จูงเมื่อตายนั้นมันจูงไปเผา  ไม่ได้จูงไปดีอะไร  ไม่ใช่จูงเข้าวัด  ไม่ใช่จูงให้มีศีลมีธรรม  บวชจูงอย่างชาวบ้านนั้นมันบวชจูงไปเผา ไม่ใช่จูงไปให้มีชีวิตชีวาต่อไป  หลวงพ่อชาไม่บวชแบบนั้น  เพราะฉะนั้น เราจึงประทับใจหลวงพ่อชาอย่างนี้
            ประทับใจจึงไปเป็นลูกศิษย์ท่าน  เพราะท่านปฏิบัติเคร่งตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ดีแล้ว นี่ก็ประทับใจ ต้องประทับใจอย่างนี้  เมื่อไปอยู่กับท่านแล้วก็ประทับใจที่ท่านอดทน  นี่ก็ต้องประทับใจ  ท่านทำความเพียร  นี่..ก็ประทับใจ ประทับอย่างนี้  ท่านเดินจงกรม นี่..ก็ประทับใจ  ไม่มีพระที่ไหนเขาเดินจงกรม พระวัดบ้านเขาไม่เดินจงกรม แต่หลวงพ่อชาเดินจงกรม  เราก็ประทับใจ  ท่านเดินจงกรมจนทางเป็นร่องเหมือนกับร่องน้ำ คลองน้ำ เดินจากต้นเสากุฏิของท่าน เดินไปสู่ต้นเต่าร้างหรือภาษาอีสานเรียกว่าต้นตาว อยู่ใต้ร่มมะม่วง ร่มตะคร้อ  กุฏิของท่านอยู่ใกล้ต้นมะไฟ มีต้นมะไฟต้นหนึ่ง  มีกิ่งดกหนา  หลวงพ่อจันทร์ก็ทำแคร่ไม้ตะเคียนอย่างดีเป็นเสาปูนเตี้ยๆ ไว้ใต้ต้นมะไฟ  อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับต้นตะคร้อและต้นมะม่วง  เป็นต้นมะม่วงพันธุ์โบราณ ไม่ใช่มะม่วงพันธุ์สมัยใหม่  มันต้นสูงใหญ่  มีร่มดี ร่มทั้งวัน เดินทั้งวันก็ได้  เราดูแล้วในช่วงนั้นท่านกำลังบึกบึน แทบจะบอกว่าท่านไม่ได้นอนหรือนอนน้อย ฝึกตนมากกว่าที่จะนอน  เราสังเกตการณ์เห็นเป็นอย่างนั้น  พอเวลาตีสาม  ตีระฆัง  ท่านก็มาก่อนพระเณรอีก  มาก่อนก็คือฝึกตนเป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น  เพราะท่านเป็นอาจารย์  เป็นผู้นำ  กำลังร่างกายของท่านก็แข็งแรงดีอยู่  ยังไม่มีญาติโยม  ท่านทำความเพียร  นี่..เราก็ประทับใจ  ประทับใจ  ประทับก็คืออยู่ในใจ
            ประทับใจ  ประทับก็คืออยู่ในใจนั่นเอง  ประทับก็คือนั่ง  มันเป็นภาษาเหมือนเอาราชาศัพท์มาใช้  บอกว่าประทับ  ประทับใจอะไร  สิ่งที่ประทับใจคืออะไร  ประทับก็คือนั่งอยู่ในหัวใจนั่นเอง  มันมี.. มันรู้อย่างนี้  นั่นคือประทับใจ  คำศัพท์คำเดียวแต่ว่ามันเข้าใจไม่เหมือนกัน  มันเอารสชาติของคำศัพท์ไม่เหมือนกัน  เพ่งไม่เหมือนกัน เล็งไม่เหมือนกัน  คำว่า ประทับใจ เหมือนกัน แต่มันเล็งไปที่ไหน เพ่งไปที่ไหน รสชาติคืออะไร  ต้องทำความเข้าใจอีกด้วย
            เราก็พยายามทำตามท่านทุกอย่างที่ท่านทำอยู่  ไม่ให้มีข้อตำหนิ  เพราะว่าเราเลื่อมใสศรัทธาก็ต้องทำตามท่านเต็มที่เท่าที่มีความสามารถทำได้  ไม่ใช่ประทับใจแล้วก็ประทับอยู่นั่น ไม่ทำเหมือนท่าน  ไม่ทำอย่างท่าน  ประทับ...แล้วก็ทำตาม  ถึงจะมีเหตุผลเพียงพอ  มีความจริงพอ  บอกแค่ว่าประทับใจหลวงพ่อชาแต่ไม่เห็นบวชกับหลวงพ่อชาสักคน  มีแต่เอาไปเชิดชู  แอบอ้างอะไรก็ไม่รู้  แค่ไปปะเหลาะหลวงพ่อชาเท่านั้นเอง  ไปพะเน้าพะนอเท่านั้นเอง  ไปลูบแข้งลูบขาท่านเท่านั้นเอง  ถ้าประทับใจหลวงพ่อชาอย่างถูกต้องก็มาบวช  บวชอยู่ตั้งแต่วันบวชจนวันตาย  เอาสิ ประทับแน่ไหมล่ะ ประทับจริงไหมล่ะ อย่าพูดแต่ปากว่าประทับใจ ประทับอะไร  ถ้าแน่จริงก็มาบวชอย่างหลวงพ่อชา ถ้าประทับใจอย่างแท้จริง  นี่ประทับใจแค่เอาสีเอาสันกับท่าน  อยากจะให้เขายกย่องเชิดชูว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ เรานี่แหละประทับใจอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่เห็นมาบวชอย่างหลวงพ่อชาเลย  แน่จริงก็มาสิ  มาบวชสิ  จึงจะเรียกว่าประทับใจอย่างถูกต้อง และมีเหตุผล และมีความจริงด้วย  มันก็ต้องอย่างนี้
            นี่..เราก็ประทับใจ  ประทับใจว่าขณะที่ท่านอยู่  ท่านทำความเพียร  เดินจงกรมมาก  ท่านไม่พานั่งนาน  เพราะว่านั่งแล้วมันพาง่วงนอน  นิวรณ์ยังแทรกได้  แทรกแซงรบกวนได้  ยังครอบงำได้  นิวรณ์ครอบงำ  นิวรณ์มันมีห้าลักษณะ  ลักษณะที่เห็นเด่นชัดก็คือง่วงนอน  นั่นแหละนิวรณ์แท้ๆ  นิวรณ์ไม่ได้ทำให้เราดีอะไร มันเป็นสิ่งขวางกั้น สิ่งบั่นทอน เป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ให้ความก้าวหน้า เราจะทำอะไรมันก็ไม่ก้าวหน้า เพราะมันมีนิวรณ์เป็นขวากหนาม เป็นก้าง เป็นหัวตอ ระเกะระกะไปหมด  ทางไม่รื่น เดินไม่สะดวกถ้ามีนิวรณ์  ไม่ใช่ของดี  ไม่ใช่ของที่น่าจะเก็บออมกักตุนอะไร  มันน่าที่จะไล่ให้ออกให้ไปให้ได้  เพราะฉะนั้น ไม่เห็นท่านพานั่งเกินชั่วโมง  นี่หลวงพ่อชา เราก็ประทับใจว่าท่านมีความฉลาด  ท่านมีปัญญาที่เอาชนะนิวรณ์ด้วยการไม่นั่งซบเซา ซึมเศร้า ง่วงเหงา  นี่..ประทับใจ ต้องประทับใจ ประทับใจอย่างนี้  คนที่ไม่น่าประทับใจก็คือเคยง่วงยังไงก็ยังง่วงอยู่อย่างนั้น  นั่งที่ไหนก็ง่วงเชิดหน้าชูตาอยู่  นั่นเป็นสิ่งที่ไม่น่าประทับใจ  ไม่ใช่ประทับใจอย่างนั้น  มันมีผลเสีย  มันมีผลร้าย  ไม่ใช่ผลดี  ไปประทับใจมันทำไม  จะเอาไว้ในใจทำไม  เก็บเอาไว้ทำไม  ของมันไม่ดีก็ทิ้งไปสิ  ของบูด  ของเสีย
            ประทับใจที่ท่านขยันเทศน์ด้วย  หลวงปู่ชา..เวลาวันพระท่านขึ้นธรรมาสน์เทศน์ตั้งแต่สามทุ่ม   พอสวดมนต์ทำวัตรเสร็จท่านก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์กับญาติโยม  ญาติโยมก็มีไม่กี่คน ประมาณสัก ๓๐-๔๐ คน ในวันพระก็มีผู้ชายมากกว่า  ไม่มีวัดไหน ไม่มีอาจารย์องค์ไหนที่มีผู้ชายมากกว่าผู้หญิง  ไปเถ๊อะ..ไปหาดู  ไม่มีหรอก  ไม่ว่าวัดไหนก็จะเห็นผู้หญิงนี่แหละรวมตัวกันมากกว่าผู้ชาย  แต่สำหรับหลวงพ่อชา..ในรุ่นในระดับที่เราอยู่กับท่านใหม่ๆ ช่วงนั้น มีผู้ชายมากกว่า  มีผู้หญิงแค่ ๓-๔ คน  มีผู้ชายเป็น ๒๐-๓๐ คน ในช่วงนั้นผู้ชายเหนือกว่าทุกครั้ง  ทุกวันพระจะเป็นอย่างนั้น  นี่ของแปลก..แปลกสำหรับยุคนี้เลยทีเดียว  หลวงพ่อชามีผู้ชายที่จะมาฟังมาสนใจท่านมากกว่าผู้หญิง  นี่เราก็ประทับใจ  ประทับใจอย่างนี้  หลวงพ่อไพฑูรย์ประทับใจ  ก็เอาไปเขียนให้หน่อย  ประทับใจอย่างนี้  ไม่ใช่ประทับใจอะไร  ประทับใจอย่างนี้  เป็นตัวอย่างให้กับคนอื่นรู้  ท่านเทศน์ตั้งแต่หัวค่ำไปจนถึงโน่นแหละ..ตีสอง ประมาณนั้น จึงลงจากธรรมาสน์ ตีหนึ่ง ตีสอง ราวๆ นั้น  ถ้าคนยังอยู่ท่านก็พูดไปอยู่อย่างนั้นแหละ พูดวกไปวนมา  พูดน้อยพูดใหญ่ (สำนวนอีสาน หมายถึง พูดหนักพูดเบา ขนาบบ้าง กล่อมบ้าง)  พูดแล้วพูดอีก  พูดแล้วพูดเล่าอยู่นั่นแหละ  นั่งพูด..ไม่ใช่นั่งง่วง  ท่านนั่งพูด  ถ้านั่งนานๆ แล้วมันจะง่วง  ทำไมง่วง  ก็เพราะมันเป็นธรรมชาติ เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง  มันทนไม่ได้หรอกถ้านั่งนาน  เหมือนกับนั่งนานแล้วจะไม่ให้ปวด  เอาสิ  มันสัจธรรมของมันมีอยู่  นั่งนาน..ฉันไม่ปวดนะ โอ๊ย..ไม่มีทางหรอก น่าหัวเราะ  นั่งนานๆ ไม่พลิก ไม่เปลี่ยน มันก็ปวด  นั่นมันเป็นหน้าที่  นั่งกรรมฐานนานๆ  มันก็ปวด นั่นมันก็เป็นหน้าที่  มันเกิน..เกินตัว เกินกำลัง เกินเวลาที่มันจะรับได้  ถ้าเป็นนักสังเกตการณ์แล้วจะเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้น  มันอ่อนแรง มันหมดแล้ว หมดช่วง หมดศรัทธาที่จะทำอะไร  จะนั่งต่อไปทำไม มันไม่ใช่หน้าที่ที่จะเป็นอย่างนั้น  หน้าที่ของร่างกายมันก็ต้องมีรูปลักษณะของการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง  เปลี่ยนอิริยาบถ  นั่น..นั่นคือหน้าที่  นั่นคือสัจธรรม นั่นคือของจริง ไม่ใช่นั่งทั้งปีทั้งเดือน นั่นไม่ใช่สัจธรรม  ไม่ใช่ตุ๊กตาที่จะไปนั่งแบบนั้น  เหตุผลมันมีอยู่  เหตุผล..นั่นก็คือความจริง  ความจริงก็คือสัจธรรม  มันก็เป็นของมัน  นี่เราก็ประทับใจ  ต้องประทับใจ
            สิ่งที่ประทับใจหลวงพ่อชามีอะไรบ้าง เขาบอกให้เราพูด ถ้าเราพูดแล้วจะเขียนหรือเปล่า จะเอาไปเขียนหรือเปล่า ลองดู กล้าหรือเปล่า กล้าจะโชว์ไหม กล้าโชว์ของจริงไหม  กลัวแต่จะไม่กล้าเท่านั้นเอง  โอ๊ย..นี่ตัดออกเถอะ  กลัวว่าจะเป็นอย่างนั้นเสียมากกว่า  มันแรงไป  ฮึ..ฮึ..เขาจะรับไม่ไหว..มันหนัก  กลัวจะเป็นอย่างนี้เสียมากกว่า  ถ้าแน่จริงก็เขียนสิ  โชว์ลงไปเลยสิ  หลวงพ่อชาทำอะไร อย่างไร  ประกาศให้ท่าน  กล้าไหมล่ะ  กลัวแต่จะไม่กล้า  นี่..ประทับใจอย่างนี้ ต้องประทับใจอย่างนี้จึงจะเป็นการยกย่องเชิดชูปูทางให้กุลบุตรต่อท้ายภายหลังได้ตามหลวงปู่ชาซะบ้าง  ไม่ใช่ตามแค่ยกย่องเชิดชูเอาผลประโยชน์บางอย่าง  เอาเอกลาภ  เอาบริษัทบริวารต่างหาก  ถ้าแน่จริง..เอาสิ..เอาแบบหลวงพ่อชา   มันน่าจะพกอะไรไว้ในนั้นแอบแฝงมากกว่านะสิ  มันเป็นอย่างนั้น  แอบแฝง..พูดรวมก็คือผลประโยชน์  เอาผลประโยชน์จากหลวงพ่อชา  ยกย่องเชิดชูเพื่อผลประโยชน์  คำว่า ผลประโยชน์ มันก็แปลได้หลายอย่าง หลายแง่ หลายมุม  แล้วแต่จะมอง แล้วแต่จะเข้าใจก็แล้วกัน  มันเป็นอย่างนั้น
            หลวงพ่อชามีปฏิปทาเสมอต้นเสมอปลาย  ตั้งแต่ท่านสร้างวัดมาท่านมีครบวงจร  วงจรในการเป็นวัด  สมัยโน้นก็ยังไม่ได้เป็นวัดหรอก  เป็นเพียงที่พักสงฆ์  เป็นที่พักสงฆ์อยู่หลายปี  แต่ว่าทั้งนั้นทั้งนี้ในยุคต้นๆ ช่วงโน้นก็มีพระมีเณร  คือมีวัดแล้วก็มีพระ มีเณร มีแม่ชี มีอุบาสก มีอุบาสิกา มีกิจกรรมในวันพระไม่ได้ขาด  ไม่ว่าจะเป็นหน้าแล้ง หน้าฝน หน้าเข้าพรรษา หรือออกพรรษา  ไม่เกี่ยว  มีครบวงจรตลอด  มีพระ มีเณร มีเถร มีชี มีอุบาสก อุบาสิกา ไปจำศีลอุโบสถภาวนาอยู่ตลอดมาจนถึงกระทั่งบัดนี้ กระทั่งบัดนี้ ซึ่งวัดอื่นๆ หาได้ยากมากที่จะทำได้ครบวงจร ที่จะมีบริษัทบริวารครบวงจรอย่างหลวงพ่อชา  นี่เราประทับใจ ประทับใจอย่างมากเลยทีเดียว  ประทับใจว่ามันหาได้ยากมากที่จะเป็นได้อย่างหลวงพ่อชา ที่จะทำได้เหมือนหลวงพ่อชา  ต้องประทับใจอย่างนี้ 
            และท่านก็มีลูกศิษย์ลูกหาระดับโลก จนทั่วโลก มีฝรั่งมาเป็นลูกศิษย์ท่าน ซึ่งท่านเองก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้  จะบอกว่าแม้แต่คำเดียวหลวงพ่อชาก็พูดไม่ได้  อย่างนี้เป็นต้น  จะเปรียบอย่างนี้ก็ยังได้  แต่พระฝรั่งซึ่งเขาก็พูดภาษาไทยไม่ได้เช่นกัน แต่เขามาเลื่อมใสศรัทธาหลวงพ่อชาได้ยังไง  นี่..เราก็ประทับใจ ประทับใจอย่างนี้ น่าประทับใจไหมล่ะ  เป็นไปได้ยังไง สอนได้ยังไง ทำได้ยังไง  เขาเลื่อมใสหลวงพ่อชาได้ยังไง  สื่อสารกันแบบไหน  คิดดู..แล้วประทับใจไหมล่ะ  นี่คือความจริง อย่าไปเขียนเป็นอย่างอื่นก็แล้วกัน นี่ความจริง เขียนไปตามความจริง  จนท่านได้มีบริษัทบริวารไปเผยแผ่สืบต่อพระพุทธศาสนาไปทั่วโลก  นี่ประทับใจอย่างนี้จึงจะสมจริงสมจัง  ต้องประทับใจอย่างนี้  ท่านเป็นพระรูปหนึ่งในยุคนี้ที่มีความสามารถ  มีความยิ่งใหญ่ในการมีบริษัทบริวารเผยแพร่คำสอนศาสนาของพระพุทธองค์ไปจนทั่วโลก  ไม่ใช่เป็นพระผู้หลักผู้ใหญ่แบบฝ่ายบริหาร เป็นเจ้าคุณ เป็นเจ้าคณะโน้นคณะนี้ เป็นสมเด็จ เป็นอะไร  แต่นี่แหละคือสมเด็จอย่างยิ่ง สมเด็จอย่างนามธรรม  อย่างนี้ก็ได้  ไม่ใช่เป็นสมเด็จแค่รูปธรรม  เพราะว่าผลงานมันท่วมท้น ผลงานระดับโลก ไม่ใช่ผลงานระดับตำบล อำเภอ จังหวัด หรือระดับประเทศ  แต่มันเป็นระดับโลกไปเลย  นี่ผลงานของหลวงปู่ชา  นี่เราก็ประทับใจ  ต้องประทับใจอย่างนี้  ถามว่าสิ่งไหนที่ประทับใจหลวงพ่อชา ก็ประทับใจอย่างนี้  ต้องประทับอย่างนี้  ไม่ใช่ประทับใจอะไรยังไงอื่น  คนไม่เข้าใจคำว่า ประทับใจ จะเอาอะไรมาประทับใจ  ถ้าพูดเป็นธรรม แล้วมันก็ต้องประทับอย่างนี้  ถ้าคนรู้ธรรม..ก็ฟังได้  ถ้าคนเข้าใจธรรมะก็ฟังได้  เว้นแต่ที่ยังไม่รู้ธรรม ที่ยังไม่เข้าใจธรรมะ จึงจะไม่ยอมรับคำว่า ประทับใจ แบบนี้
            ประทับใจในการเป็นอยู่  ท่านไม่เลี้ยงสุนัขเลี้ยงหมา  นี่เห็นไหม  นี่ข้อนี้ ประทับอย่างพิเศษ  อย่างหาได้ยากมากเลย  ไม่มีใครเหมือน แล้วก็ไม่เหมือนใคร  หลวงพ่อชาท่านไม่เลี้ยงหมา ท่านไม่เลี้ยงสุนัข  ไม่ให้สุนัขอยู่ในวัดท่าน และไม่มีพระองค์ไหนเลี้ยงสุนัขในวัด  ไม่มี  เอาข้าวไปให้กิน เอาข้าวเศษบาตรเหลือบาตรไปให้หมาซะบ้าง ไม่มี  หลวงพ่อชาไม่ทำ  เพราะมันเป็นภาระ มันเห่ามันหอน มันรบกวน มันสกปรก  ถ้าเลี้ยงมัน..ก็รักหมาเหมือนกับรักอะไรก็ไม่รู้  ไปที่ไหนหมาก็อยู่ด้วย  ไปที่ไหนหมาก็นอนอยู่ด้วย  คนที่มากราบมาไหว้ไม่รู้จะไหว้หมาหรือไหว้พระกันแน่ หลวงพ่อชาเองท่านพูดอย่างนี้เลย  ท่านบอกว่า ผมเห็นมามากแล้ว บางทีก็ไม่รู้จะกราบยังไง กราบไม่ลง กราบไปจะถูกหมาหรือถูกพระกันแน่ เพราะหมาก็อยู่ต่อหน้าพระนั่นแหละ นอนอยู่นั่น นั่งอยู่นั่น  บางตัวก็เลียปากเจ้าอาวาสอยู่นั่น แล้วก็ยังหน้าตาเฉย  ญาติโยมแขกผู้ดีมีชั้นมา..ก็เฉย..ให้หมาเลียปากให้แขกดูเฉยเลย  นั่น..อย่างนั้น หลวงพ่อชาไม่เอา ไม่เลี้ยง ไม่เคยมี  นี่เราพูดให้ฟัง  ในยุคนี้เลี้ยงหมากันมากแล้วในวัดต่างๆ ทั้งหลาย  นี่..เราก็ประทับใจ  ประทับใจอย่างนี้  ต้องประทับใจ  ทำได้ไหม..ถ้าประทับใจ  เขียนได้ไหม เขียนลงไปหน่อยว่าประทับใจหรือเปล่า  ก็เอาของจริงมาว่ากัน  กลัวว่าเขียนไปแล้วจะกระทบคนนั้นจะกระทบคนนี้  เอาแล้ว..หลวงพ่อชาก็เลยเป็นรองไปแล้ว  คนอื่นก็เลยได้เกียรติ เป็นต่อ  พระองค์ไหนที่เขาเลี้ยงหมาก็เลยได้เป็นต่อไปเลย  แต่หลวงพ่อชาตกต่ำไปแล้ว  ก็เลยเขียนไม่ได้  แน่จริงไหม..เขียนลงไปเลย  ถ้าจะเชิดชู  ถ้าจะรักจริง  ถ้าจะเคารพบูชาหลวงพ่อชาจริง  เอาสิ  หลวงพ่อชาไม่เลี้ยงหมาแม้แต่ตัวเดียว  เราเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิท่านก่อนใครทั้งหมด  เรารู้  รู้จริง  ไม่ได้ถ่ายทอดมาจากหนังสือ  ไม่ได้ถ่ายทอดมาจากคนอื่นหรือองค์อื่น  ไม่ได้ผ่านการบอก  แต่มัน ถ่ายทอดสด มาเลยนะ  นี่คือประทับใจหลวงพ่อชา ก็ประทับใจอย่างนี้  เขาถามว่าอะไรบ้างที่หลวงพ่อไพฑูรย์ประทับใจหลวงปู่ชา  เราก็ประทับอย่างนี้ 
            แล้วก็ในช่วงโน้น  ช่วงที่ท่านไปแสวงหาครูบาอาจารย์  มันก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง  บวชแล้วก็ไปหาดูว่าองค์ไหนควรจะฟัง  องค์ไหนพูดธรรมะอะไรยังไง  ก็เหมือนในยุคก่อนที่พระสิทธัตถะออกบวชแล้วก็ไปทดลองกับอาจารย์ต่างๆ  เห็นว่าไม่เข้าท่าแล้วจึงมาทำเอง  หรืออาจจะเข้าท่าแต่เราก็ยังไม่ถึง  มันก็บอกให้ชัดเจนลงไปไม่ได้หรอก  มันเป็นจังหวะ เป็นโอกาส เป็นกาลเวลาด้วย  มันมีองค์ประกอบอย่างนั้นด้วย  อาจารย์อาจจะจริงแต่ว่าเราก็ยังไม่พร้อมไม่พอ  บางอย่างยังไม่พอ  ไม่ประจวบเหมาะพอ  ก็เลยเป็นไปไม่ได้  มันก็ต้องดูหน้าดูหลัง  ในช่วงนั้นท่านก็ไป  เขาก็เรียกว่า “ไปวิเวก”  ไปอยู่ป่า อยู่หมู่บ้านร้าง  ท่านก็เป็นพระวัยรุ่นหนุ่ม  ก็ไปรักหญิงเข้า  รักผู้หญิงอยู่นั่นหลายวันแล้ว  แต่พอท่านจะไป  ท่านไม่บอกใคร  ท่านหนีไปเลย  เดินจงกรมอยู่แล้วก็ไปเลย  “ไป..ไปกันเถอะ พ่อใหญ่แก้ว”  ท่านหนีไปเลย  ไม่บอกลาญาติโยมสักคำเดียว  มันจะสู้กิเลสไม่ได้แล้ว  มันจะหาทางสึกไปมีเมียแล้ว  ฉันไม่สึก  หลวงพ่อชาหนีไปเลย  หนีกิเลส  หนีมาร  หนีสิ่งที่มันจะชวนให้เราสึกไป  ท่านไปจากกิเลส  ไปจากข้าศึกคือกิเลส  กิเลสตัวใหญ่ก็คือเพศตรงกันข้าม คือผู้หญิง  หลวงพ่อชาหนี  ไม่อาลัยไยดี  ไม่บอกไม่ลาแม้แต่คำเดียว  นี่ประทับใจ ก็ต้องประทับใจอย่างนี้ 
            แต่พระที่เหมือนหลวงพ่อชามีไหมล่ะ  หายากนะ  มีแต่ประจบสอพลอ  มีแต่พะเน้าพะนอ  มีแต่พูดเพราะๆ กับผู้หญิง  บอกว่าเขาเลื่อมใส  เขาศรัทธา  สมัยนี้มีมากเลย  บอกว่าเขาเลื่อมใส  บอกว่าเขาศรัทธา  เขาศรัทธาผม  เขามาหาผม  เขาเลื่อมใสผม  นี่เห็นไหม..มันตายกับผู้หญิงมากต่อมากแล้ว  เจ้าอาวาสทั้งหลายก็ดี  พระทั้งหลายก็ดี  เพราะบอกว่าเขาเลื่อมใส เขาศรัทธา  มีอะไรเขาก็ให้  ต้องการอะไรเขาก็ให้  สร้างอะไรเขาก็ช่วย  อยากฉันอะไรเขาก็หามาให้ฉัน  เขาพูดดีด้วย  เขาทำอะไรดีด้วย  นี่..มีอย่างนี้มาก  ถ้าไม่ตายก็ดี  อยู่ได้ก็ดี  แต่เห็นมันตายมามากต่อมากแล้วเพราะผู้หญิง  แต่หลวงพ่อชาไม่ทำตัวอย่างนั้น  ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะไปเลื่อมใสศรัทธาจนได้ออกหน้าออกตา  จนเด่นชัด  จนกล้าเสนอหลวงพ่ออย่างนั้นอย่างนี้  ถ้ามีผู้หญิงที่จะมาใกล้ชิดท่านอย่างนั้น  โอ๊ย..ท่านตะเพิดไปเลย  ท่านทำให้เกลียดท่านไปเลย  เหมือนอย่างเอาอาหารไปถวายท่าน  อันนี้ของดีนะหลวงพ่อ  นิมนต์ฉันดู  อร่อยนะ มาจากโน้นนะ จากกรุงเทพฯ จากต่างประเทศนะ  หรืออะไรก็แล้วแต่ในรูปลักษณะอย่างนี้  ฉันจะเอามาถวายหลวงพ่อ..จะเอามาถวายหลวงพ่อ  ถ้าใครใกล้ชิด ถ้าใครออกหน้าออกตาอย่างนี้  หลวงพ่อท่านจะยื่นต่อไปเลย ท่านไม่ฉันเลย  ส่งให้องค์อื่นต่อไปเลย  ฉีกหน้าไปเลย  ให้มันโกรธท่านซะบ้าง  ไม่พอใจท่านซะบ้าง  มันจะลามปามลุกลามมาใกล้ชิดท่าน  แล้วเกรงว่าท่านอาจจะหลงหรือเปล่า  นี่..ท่านระวัง  ท่านระแวง  ท่านรักษาเนื้อรักษาตัวของท่านไว้  ท่านไม่ได้ตามใจกิเลส  ท่านไม่ได้ตามไปทางที่มันจะไหลไปทางต่ำ  ท่านทวนกระแสอยู่เสมอ  นี่คือลักษณะเด่นของหลวงพ่อชา  เราเห็นกับตา  อย่างนี้แหละประทับใจ ประทับใจอย่างนี้  ถ้าสังเกตการณ์ดู  เห็นไหม..พระทั้งหลายตายในรูปแบบอย่างนี้มามากแล้ว  เจ้าอาวาสระดับสิบกว่าพรรษา ยี่สิบพรรษายังตายเพราะว่าเขาเลื่อมใสนี่แหละ  ถ้าผู้ชายเลื่อมใสก็ค่อยยังชั่วหน่อย  แต่ถ้าผู้หญิงเลื่อมใสละก็  ระวังเถอะ..ระวังให้ดี  ไม่วันใดก็วันหนึ่ง  มันจะเอาให้ตาย  “มันจะเอาให้ตายโดยไม่รู้สึกตัว”  ตายจากพระ  องค์นั้นก็สึกแล้ว องค์นี้ก็สึกแล้ว  นี่..เก็บไว้ไหมความประทับใจอย่างนี้  ประทับใจก็คือมีในใจหรือเปล่า  เจ้าอาวาสทั้งหลายมีอย่างนี้ในใจหรือเปล่า  หรือเห็นว่ายิ่งดี  ยิ่งเหลิง  ยิ่งพอใจ  ยิ่งหยิ่ง  กระหยิ่มอย่างนั้นเหรอ  เอ๊ย..ฉันนี่มีคนเลื่อมใสศรัทธา  มีแต่คุณหญิงคุณนายเศรษฐีมีเงินทั้งนั้น  เจ้าของโรงงาน  เจ้าของบริษัทใหญ่ๆ ทั้งนั้น  เลื่อมใสฉัน  อย่างนั้นเหรอ  เอ๊ย..คุณนี่บวชนานก็ช่างเถ๊อะ  ไม่มีอะไร  ไม่เห็นมีลูกศิษย์ลูกหา  ไม่เห็นมีเอกลาภญาติโยมอะไร  อยู่ผู้เดียว  สององค์  ฉันนี่สิยิ่งใหญ่เลย  อะไรก็หรูหราฟู่ฟ่า  ไม่อดไม่อยาก  ทำอะไรก็แล้ว ทำอะไรก็เสร็จ อย่างนี้เหรอ  หลวงพ่อชาท่านไม่ได้กระหยิ่ม ผยองตนในรูปลักษณะดังกล่าว  นี่เราประทับใจ  เราประทับใจหลวงพ่อชาอย่างนี้  ถ้ามีท่าทีอันที่จะใกล้ชิด จะเลื่อมใสศรัทธาท่านเป็นพิเศษ  ท่านผลักไปเลย  ท่านตะเพิดไปเลย  ไม่ให้เข้าใกล้  ไม่ใช่ว่าเห็นใครดีด้วยก็ดีกับมัน  ไม่..หลวงพ่อชาไม่เอา  ให้มันเสมอกันทั้งหมด  คนมาแต่ใกล้แต่ไกล  จะเป็นระดับไหน  อย่างไร  ก็เสมอกัน  อย่าให้มันใกล้เป็นพิเศษ  เพราะว่าท่านมองเห็นอันตรายอยู่  สังเกตการณ์ดูแล้วก็เห็นเป็นอย่างนั้น  ก็เลยประทับใจ  ประทับใจอย่างนี้
            อย่างพวกผู้หญิงที่อยู่ใกล้  แม่ชี แม่ขาว ที่อยู่ในวัดนั้น  โอ๊ย..แม่ขาวนี่เห็นท่านยังกับเห็นเสือ  เหมือนเห็นเสือตัวหนึ่ง  แม่ชีอยู่ในวัดหนองป่าพงมองหน้าหลวงพ่อชาไม่ได้หรอก  ท่านเคร่งขรึม  ท่านไม่ปะเหลาะปะแหละ  ท่านไม่พูดดีกับแม่ชีแม่ขาวเหล่านั้น  ท่านพูดเหมือนกับจะกัดกินเลยเวลาพูดกับแม่ขาว  เพราะว่าไม่ให้เข้าใกล้  ไม่ให้มันใกล้  ตีสนิทเข้ามาไม่ได้  นี่..หลวงพ่อชาทำอย่างนั้น  ไม่ได้เหมือนกับพระบางวัด หรือเหมือนกับเจ้าอาวาสบางเจ้าอาวาส  โอ๊ย..หยอกล้อพะเน้าพะนอเป็นกันเอง  ไม่..ไม่..หลวงพ่อชาไม่เอา  นี่..นี่..ประทับใจอย่างนี้  เวลาท่านไปเทศน์ไปสอนในวัน ๑๔ ค่ำ  โดยมากท่านจะไปอบรมแม่ชีในวัดหนองป่าพง  ท่านก็ต้องมีคนติดตามท่านไป  ตามพระวินัยต้องมีผู้ติดตาม  คนติดตามท่านก็จะเอาคนแก่ๆ  ถ้าเป็นพระก็เป็นพระหลวงตาแก่ๆ  ไปด้วยคนหนึ่ง  หรือเอาเณรน้อย  อย่างเราเป็นเณรน้อย  สามเณรฑูรย์นี่ไปกับท่านเป็นประจำบ่อยๆ เพราะเราตัวน้อย  ตัวน้อยไม่เป็นไร เพราะมันไม่สมสัดสมส่วน เด็กกับผู้ใหญ่มันไม่มีอะไรที่จะเป็นเหตุก่อให้เกิดราคะ เกิดความกำหนัด ก่อให้เกิดความรักความใคร่ขึ้นมา  ผังของท่านอยู่ในความรู้สึก ข้อมูลของท่านอยู่ในความรู้ของท่าน  แต่ท่านไม่ได้พูดออกมาเปิดเผยหรอก  นี่..อาศัยการสังเกตการณ์ของเราเอง  เห็นเป็นอย่างนั้น  ท่านไม่ได้บอกหรอกว่าต้องเอาคนแก่นะ ต้องเอาเด็กนะ ฉันไม่เอาพระวัยรุ่นไปด้วยนะ  ไม่..ท่านไม่บอก  แต่เราสังเกตแล้วเห็นเป็นอย่างนั้น  โดยการสังเกตการณ์  โดยการคิด  หลวงพ่อชาจะมีปฏิปทาอย่างนั้น  เวลาไปเทศน์ไปสอนแม่ชีแม่ขาวในวัดหนองป่าพงท่านจะทำแบบนี้  เอาตัวน้อยๆ เอาตัวแก่ๆ ไปเป็นเพื่อน  ไปเทศน์ทุกวัน ๑๔ ค่ำ  แล้วพอวัน ๑๕ ค่ำ ก็เทศน์กับพระ
            โอ๊ย..เทศน์กับพระนี่ท่านจะเทศน์แรง  แสบ เผ็ด แหลมคม  ห้าวหาญ  เอาจริง  เพื่อหวังมรรคผลนิพพานอย่างแท้จริง  ไม่ใช่พูดแบบกล้อมๆ แกล้มๆ ด้อมๆ แด้มๆ เอาอกเอาใจใคร  ไม่ใช่  อยู่ก็อยู่  ไม่อยู่ก็ไป  ดีก็อยู่  อยู่ให้มันได้ดี  ไม่ดีอย่าอยู่  อย่างนี้..ท่านหวดเอาอย่างเต็มแรงเต็มหนักของท่านเลย เข้มข้นเลย  นี่..เราก็ประทับใจ  ห้าวหาญ ต่อสู้ เอาจริง หวังมรรคผลนิพพานอย่างเดียว  อย่างอื่นไม่สน  เข้มข้นอย่างนี้หลวงพ่อชา  นี่..เราประทับใจ
            เพราะฉะนั้น  ประทับใจมานานแล้ว  ทั้งหมดนี้คือเราประทับใจ  เอาไปเขียนให้หน่อย  เอาไปเผยแผ่ให้หน่อย  ไม่ใช่เอาไปตีแผ่  ตีแผ่นั่นมันตีให้ตาย ฆ่าให้ตาย ฆ่าคนให้ตาย  เอาไปเผยไปแผ่ไปเชิดไปชูไปยกย่องให้มวลชนทั้งหลาย ให้ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย ให้พระให้เณร ชาวพุทธทั้งหลาย ได้รู้ได้เห็นว่าพระหลวงพ่อชานี้ท่านทำอย่างไรในเบื้องต้น  ช่วงที่ลูกศิษย์ลูกหาไม่มีโอกาสได้รู้ได้เห็นด้วย  แต่เราอยู่ในระดับที่ไปอยู่กับหลวงพ่อชาก่อน  ก่อนใครๆ ในยุคนี้  ไม่มีใครอยู่ก่อนเรา  เราก็เก็บเอาข้อมูลที่เราเกี่ยวข้อง  ที่เราสัมผัส..ขณะที่เราอยู่ร่วมกับหลวงพ่อชา ว่าประทับใจอะไรบ้าง จึงเอามาพูดไว้ในที่นี้  แล้วก็เขียนว่าประทับใจอย่างนั้น..อย่างนั้น  ดังที่กล่าวมาแล้ว  เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูให้เป็นประโยชน์ต่อพระศาสนา  เป็นประโยชน์ต่อมวลชน  ก็เผยแผ่ต่อไป  เพราะฉะนั้น จึงขอจบการประทับใจไว้แต่เพียงเท่านี้


ภาคที่สอง (มรดกธรรมลำดับที่ ๔๑๖ เทศน์ไว้เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๕๔)


            นั่งฝึกตนไม่ให้ง่วง  นั่งตอนเช้ามันชอบง่วง  เสียงระฆังปลุกให้ตื่น  ตื่นมาแล้วก็มาหลับอีก  อย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง  ก่อนจะตื่นก็คือหลับนอน พอตื่นขึ้นมานั่งก็ นั่งนอน  เห็นไหม..ยังจะนอนอยู่อีก  ตื่นแล้วก็ตื่นเลยสิจึงจะมีเหตุผล จึงจะคือการปฏิบัติธรรม คือธรรม คือถูกต้อง  ธรรมคือจริง  จึงจะประทับใจในตัวเอง  มีอะไรที่ประทับใจในการเข้ามาบวช  ถ้าเรามาบวชแล้วมาให้ความง่วงครอบงำมันก็ไม่ประทับใจ ตัวเองก็ไม่ประทับใจ คนอื่นเห็นก็ไม่ประทับใจ  ถ้าให้ไม่ง่วงได้ เออ..ประทับใจตัวเองได้  บวชแล้วอยู่ได้ก็ประทับใจ..ไม่สึก  ต่อไปก็สวดปาฏิโมกข์ได้  โอ้..ประทับใจ..สวดได้ให้มันเป็นเครื่องอยู่  เป็นวิหารธรรม  มีธรรมะเป็นเครื่องอยู่
            เขาถามว่าไปอยู่กับหลวงปู่ชาตั้งแต่ก่อนใคร แล้วมีอะไรเป็นที่ประทับใจ  เราประทับใจตั้งแต่ก่อนไปอยู่กับท่านแล้ว ประทับใจยังไง  ก็เมื่อไปสัมผัสไปเห็นครั้งแรก..เข้าไปในวัดของท่าน ก็เป็นวัดป่าที่ร่มเย็น วัดป่าก็คือมีร่ม ร่มก็คือเย็น หน้าที่ของร่มก็คือให้ความเย็น  หน้าที่ของแสงแดดก็คือให้ความร้อน เพราะฉะนั้น เข้าไปวัดหนองป่าพงครั้งแรกก็ไปเห็นต้นไม้  ป่าไม้  ร่มเย็น น่าอยู่  ก็ประทับใจ  ดูลานวัดของท่านก็เตียน  พื้นดินเตียนโล่ง  ไม่มีโคลนตม  ไม่เป็นดินเหนียว  แต่มันเป็นลักษณะดินทราย  ดินทรายเมื่อปัดกวาดแล้วมันก็โล่งเตียน  ดูสภาพอย่างนั้น..เราเกิดมาก็ไม่เคยเห็นมาก่อน  มันก็เลยสะดุดความรู้สึก  โอ้..นี่ดีแท้  สะอาด  น่าอยู่  ถ้าจะนั่งอยู่โคนต้นไม้เหมือนพระพุทธเจ้าก็นั่งได้เลยทุกต้น  นี่ประทับใจ  ประทับใจวัดหนองป่าพง  ประทับใจหลวงปู่ชาที่นำพาลูกศิษย์ลูกหาอยู่ที่นั่น 
            ท่านก็พากวาดลานวัดทุกเวลาบ่าย  บ่ายสามโมงตีระฆัง  ก็ถือไม้กวาดของใครของเรามาเป็นกิจวัตร  เพราะลานวัดมันกว้างพอสมควร  พื้นที่ที่จะต้องกวาดตอนนั้นก็ประมาณสักหกไร่  หกไร่นี่กวาดทั้งหมดเลย..มันกว้าง  เราไม่ได้วัดดูหรอกแต่วาดภาพคะเนเอา  เดาคาดคะเนเอาก็ประมาณหกไร่  กวาดจนโล่งเตียนไปหมด  เวลากวาดจะไม่กองไว้นะ  หรือถ้ากองไว้แล้วก็ต้องหอบไปทิ้งในป่า  ไปทิ้งในที่ที่มันเป็นที่ลุ่ม ที่ต่ำกว่า ลุ่มกว่า  เวลาเอาไปเขาก็ไม่ใช่กองไว้อยู่นั่นอีก  ต้องเทแล้วก็เขี่ยออก คลี่ออก  กระจายออกไป  ให้มันกระจัดกระจายออกไปให้มันราบ  ไม่มีลักษณะเป็นกองๆ  กองขยะ กองใบไม้ อย่างนั้นไม่มี  มันจะเป็นบ้านของปลวก  ปลวกมันจะมากินใบไม้กิ่งไม้เหล่านั้น แล้วมันก็ทำรังซะเลย ทำเป็นจอมปลวกซะเลย  ดูแล้วลานวัดมันก็จะไม่สวย เพราะมันจะมีแต่จอมปลวก  ท่านก็พาปูให้ราบไปในป่า  ปลวกมันจะกินก็กิน  ธรรมชาติปลวกมันก็มีอยู่  มันก็กินใบไม้กิ่งไม้  ถ้าปลวกไม่กินมันก็ย่อยสลายเปื่อยเน่าไปตามหน้าที่  ตามหน้าที่ของธรรมะ  ของธรรมชาติ  นี่คือข้อวัตรปฏิบัติที่เราเข้าไปเห็นครั้งแรกที่วัดหลวงปู่ชา  ทุกกฏิต้องมีไม้กวาดอยู่ใต้ถุนกฏิ  เตรียมไว้คนละห้ามัดหกมัดถ้าเป็นกำ  หรือถ้าเป็นด้ามก็สองสามด้าม  เตรียมไว้ประจำ  ดูแล้วก็มีระเบียบสะอาด  ลานวัดส่วนรวมก็สะอาด  ทางเข้าไปในกฏิก็สะอาด  รอบๆ กุฏิสะอาด  กวาดให้โล่งเตียนทุกวัน  มันมีลักษณะอย่างนั้นในยุคที่เราเข้าไป  พอไปเห็นแล้วก็ โอ๊ย..ชื่นใจ  พอใจ  ประทับใจว่า โอ๊ย..อย่างนี้แหละที่อยู่  เราจะต้องมาอยู่ที่นี่  น่าอยู่แท้  สะอาดแท้  ขนลุกขนพองสยองเกล้าเลย  อะไรอย่างนี้  ที่บ้านที่เราอยู่มามันไม่น่าอยู่หรอก มันสกปรก ไม่รู้ว่าเสียงอะไรต่ออะไร  มีไก่  มีหมา  มีเด็กร้องไห้  โอ๊ย..มันวุ่นวายขัดข้อง  มันไม่น่าอยู่  มันไม่ประทับใจที่จะอยู่  ต้องมาอยู่กับหลวงปู่ชา  เพราะประทับใจ  ชื่นใจ  ดีใจ  ก็เก็บความรู้สึกไว้ว่ากลับไปต้องขอลาคุณแม่คุณยายให้ได้มาบวช  มาเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชาที่นี่  ที่วัดหนองป่าพง
            ก็ได้อยู่ที่นั่นเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๔  ไปเป็นตาปะขาว (ผ้าขาว) อยู่ที่นั่น  พอใกล้จะเข้าพรรษาก็บวชเป็นสามเณรอยู่ที่นั่น  แล้วก็ได้เป็นสามเณรองค์แรกที่บวชในวัดหนองป่าพง  แล้วก็อยู่มาได้จนกระทั่งบัดนี้  เราก็ประทับใจ  ประทับใจว่าเราเป็นสามเณรองค์แรกกว่าใครๆ ทั้งหมดในยุคนั้นจนถึงบัดนี้แหละ  ได้รับใช้ปรนนิบัติใกล้ชิดกับหลวงปู่ชา  เวลาออกบิณฑบาตก็สะพายบาตรตามหลังท่าน  ไปสององค์กับท่านเท่านั้นในช่วงนั้น  บอกว่าเป็นช่วงๆ ก็แล้วกัน  ช่วงอื่นก็เป็นองค์อื่น  แต่ช่วงนั้นสามเณรฑูรย์นี่แหละไปกับท่าน  ชื่อเต็มคือไพฑูรย์  แต่เขาเรียกสั้นๆ ว่าฑูรย์  สามเณรฑูรย์  ชื่อเต็มคือไพฑูรย์ ฬานันท์  แต่เรียกสั้นๆ ว่าเณรฑูรย์  เณรที่เคยอยู่ก่อนเราในยุคนั้นมีไหม  ก็มี  แต่เขาสึกไป  นี่คือข้อมูลที่บอกว่าเป็นสามเณรองค์แรกที่มีชีวิตอยู่ได้ตั้งบัดนั้นจนถึงบัดนี้  นี่..เราก็เลยประทับใจ  ตั้งแต่แรกเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าภูมิใจหรือประทับใจสักเท่าไร  แต่พออยู่มาจนป่านนี้  มองย้อนหลังไปในอดีต  โอ้..มันประทับใจที่เราอยู่มาได้ก่อนใคร  แล้วก็มีชีวิตอยู่ได้ก่อนใครๆ ทั้งหมดในปัจจุบันในช่วงนี้ จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๔  เราอยู่มาได้ถึงป่านนี้  ไม่มีใครที่อยู่ก่อนเรา  ประเภทเป็นพระเณรทั้งหมดทุกสาขา ๒๐๐ กว่าสาขานี้  จะเป็นใครก็ตาม ไม่มีใครที่จะอยู่ก่อนเรา  เขามาอยู่กับหลวงปู่ชาทีหลังเราทั้งหมด  เราพูดได้เต็มปาก  เป็นความจริงที่รู้เฉพาะตัว  พระเถระที่มีอายุพรรษาเหนือกว่าเราก็จริงแต่ท่านก็มาทีหลัง  ท่านมาจากวัดบ้าน  มามอบตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อชา  ท่านมีพรรษามาจากวัดบ้านก่อนแล้ว  เราก็เลยพรรษาน้อยกว่าท่าน  นี่คือสิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจ  ไม่งั้นจะไม่เข้าใจกัน  หรือบางองค์มาทีหลังแต่ท่านก็มีอายุ ๒๐ ปีขึ้นไป  ก็มีโอกาสที่จะอุปสมบทคือบวชเป็นพระได้  แต่เราอายุยังไม่ถึง ๒๐ ปี เราก็อยู่เป็นสามเณรก่อน  ท่านมาอยู่ทีหลังเราแต่ท่านก็บวชเป็นพระก่อนเรา  เรามาก่อนจริงแต่ก็อยู่เป็นสามเณรไปก่อน จนอายุครบพอที่จะบวชเป็นพระได้ตามพระวินัยจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์องค์หนึ่งในวัดหนองป่าพง  จากสามเณรฑูรย์ก็กลายเป็นพระภิกษุไพฑูรย์ หรือพระฑูรย์  นี่เราก็ประทับใจ  ประทับใจว่าเรามาอยู่กับหลวงพ่อชาก่อนใคร  แต่ในช่วงนั้นไม่รู้สึกว่าประทับใจอะไร  ไม่มีรสชาติเท่าไร  พอมาถึงบัดนี้ โอ้..มันน่าประทับใจที่เรามีโอกาสอย่างนั้นก่อนเพื่อน ก่อนท่าน ก่อนใครๆ ทั้งหลาย  นี่..ประทับใจอย่างนี้
            เมื่ออยู่กับท่าน  ท่านก็ให้ความรัก  ให้ความเมตตา  เหมือนกับลูกท่าน  เพราะว่าเด็กที่อยู่กับท่านได้มันไม่มี  มีแค่เราเป็นสามเณรองค์เดียวอยู่ตลอด  ความคุ้นเคย  ความใกล้ชิด  มันก็เลยเสมือนหนึ่งว่าพ่อกับลูกอะไรอย่างนั้น  มีอะไรเราก็ช่วยท่าน  เพราะท่านเมตตาเรา  บางทีพระที่มาทีหลัง หลวงพ่อ หลวงตาบางองค์ก็พูดหาว่าเราเป็นสันติบาลให้หลวงปู่ชา  ไอ้นี่มันเป็นสันติบาลให้กับหลวงปู่ชา  เพราะแกไปทำอะไรมิดีมิร้ายเราก็ไปกราบเรียนหลวงปู่ชา  ที่กราบเรียนไม่ใช่เพื่อจะปะเหลาะอะไร  แต่เราทำเพื่อความเรียบร้อย เพื่อความเป็นระเบียบ เพื่อให้อยู่กันในกรอบในกติกาตามธรรมวินัย  บางทีพระสูบบุหรี่  แอบสูบบุหรี่  พอท่านเทศน์ว่าพระไปแอบสูบบุหรี่มันไม่ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง  มันไม่ซื่อสัตย์ต่อคณะ  ไม่ซื่อสัตย์ต่อครูบาอาจารย์  บอกให้งดให้เลิกก็ไม่เลิก  ท่านก็เทศน์อยู่หลายวัน  ถ้าท่านได้เทศน์เรื่องไหนท่านเทศน์อยู่หลายวันติดต่อกัน  จะเรียกว่าเป็นเดือนก็ยังได้  ถ้าบอกว่าเทศน์เรื่องเดิม ๗ วัน นี่ยังน้อยไป  เทศน์แล้วเทศน์อีก  ว่าแล้วว่าอีกอยู่นั่น  เสร็จแล้วไอ้คนที่สูบบุหรี่มันสูบยาก  สูบไม่ได้  มันก็มาหาว่าเราเป็นสันติบาลให้หลวงปู่ชา  ไอ้นี่เป็นคนไปบอกหลวงปู่ชา  เณรฑูรย์นี่แหละมันตัวดีมันไปบอกหลวงปู่ชา  เหมือนโบราณเขาบอกไว้ว่ากินปูนเองก็ร้อนท้องเอง  แอบทำเองแล้วก็เดือดร้อนเอง  บอกหรือไม่บอกท่านก็รู้  ทำไมหลวงปู่ชาท่านจะไม่รู้  ลูกศิษย์ของท่าน ท่านก็รู้ว่าใครเป็นอะไรยังไง  ใครมันแอบทำ หรือใครมันซื่อสัตย์
            บางทีพระบางองค์พอออกพรรษาก็ตั้งท่าจะสึก  เราก็ไปกราบเรียนหลวงปู่ชา  แต่เมื่อก่อนก็ไม่ได้เรียกว่าหลวงปู่ หลวงพ่ออะไรหรอก  คำศัพท์ที่ใช้กับท่านก็คือ “ครูบาจารย์”  ครูบาจารย์..พระองค์นั้นเขาจะสึกแล้วนะ  ครูบาจารย์..พระองค์นั้นตั้งท่าแล้วนะ..จะสึกแล้ว  เตรียมเสื้อผ้ามาไว้แล้ว  เขาให้ญาติเอาเสื้อผ้าใส่ถุงกระดาษมาให้แล้ว  สมัยก่อนมันไม่มีถุงพลาสติกหรอก อย่างมากก็ถุงกระดาษเหมือนกับกระดาษถุงปูนซีเมนต์นี่แหละ  ใส่ถุงกระดาษอย่างนั้นติดกาวแล้วก็ถือมา  อยู่ในนั้นก็มีกางเกงมีเสื้อ  เตรียมจะสึก  หลายองค์มีลักษณะอย่างนั้นเราก็ไปกราบเรียนหลวงปู่ชา  กราบเรียนครูบาจารย์ชา  ครูบาจารย์..องค์นั้นเขาเตรียมจะสึกแล้วนะ  จากนั้นวันต่อมาท่านก็เทศน์  พอเทศน์มันก็สะดุดสิทีนี้  คนที่เตรียมตัวจะสึกยังไม่ได้ไปลาท่าน  ก็สะดุด  สะดุดว่าหลวงพ่อรู้ได้ยังไง  พูดถูกหมดเลย  โอ้..หลวงปู่ชาพูดถูกหมดเลย  เหมือนท่านรู้เรานี่หว่า  เสร็จแล้วเขาก็ยำเกรง  เขาก็ไม่กล้าที่จะลาท่าน  ไม่กล้าที่จะไปลาสึกกับหลวงปู่ชา  นี่คือผลที่ได้จากการไปกราบเรียนท่าน  มันมีผลอยู่ในตัว  ไม่ใช่ว่าเราจะทำอะไรไปในทางไม่ดีหรือทางเสียหาย  ไม่ใช่ไปกราบเรียนในทางที่จะให้คนนี้เสียหายคนนั้นเสียหาย  แต่เราทำเพื่อผลประโยชน์ให้พระองค์นี้อยู่ได้ในร่มผ้ากาสาวพัตร์  ศึกษาพระกรรมฐานต่อไป  นี่คือความมุ่งหมายหรือจุดประสงค์ของเรา  ที่เรานำข้อมูลพระที่เตรียมจะสึกทั้งหลายเอาไปกราบเรียนครูบาจารย์ชาให้ท่านรู้ก่อน  ท่านจะได้เทศน์เจาะใจ  เจาะใจ..ไม่ใช่เจาะอะไรอย่างอื่น  เจาะแล้วก็ไปโดนใจ  ท่านเทศน์ไปแล้วก็โดนใจ  ก็สะดุดสิ  สะอึกเลย  เอ..ท่านรู้ได้ยังไง  ก็กลัว  เคารพ  ยำเกรงมากขึ้น  ก็ไม่กล้าที่จะไปลาสึก  ไม่กล้าที่จะทำอะไรเสียหาย  ก็คิดว่าหลวงพ่อชารู้  ท่านอาจารย์ชารู้  ท่านเก่งขนาดนั้น  เรากระดุกกระดิกไม่ได้เลย  ทำผิดทำเสียหายไม่ได้เลย  ท่านรู้หมด  แต่ถึงเราไม่ได้บอกท่านก็รู้  ท่านมีจิตวิทยา ท่านมีสติปัญญารอบรู้ที่ดี  บางอย่างท่านก็อาจจะรู้เอง หรือบางทีท่านอาจจะรู้เองทุกอย่าง  เราก็ไม่สามารถที่จะทราบท่านได้  แต่บางอย่างมันตรงกับที่เราไปกราบเรียนท่านไว้  ท่านอาจารย์..องค์นั้นทำอย่างนั้น  ท่านอาจารย์..องค์นั้นกำลังเตรียมเสื้อผ้ามาแล้ว  อย่างนี้เป็นต้น  บางทีท่านก็อาจจะรู้อยู่ก่อนแล้ว แต่เราก็ไปกราบเรียนซ้ำเข้าไป  ท่านก็เทศน์  เทศน์ไปท่านก็ไม่ได้บอกว่าไอ้เณรนั้นมันมาบอกผม  ท่านปิดท่านปกป้องเราไว้อย่างดีเลย  ท่านไม่ทำอะไรให้มีพิรุธ  ไม่ใช่ปากว่าไปแล้วก็ตาขยิบมาหาเณรฑูรย์  ไม่ใช่อย่างนั้น  ไม่ใช่ปากว่าตาขยิบ เอานะ..ผมจะพูดเรื่องนี้แล้วนะ เรื่องที่คุณบอก  ไม่ใช่อย่างนั้นเลย  ท่านไม่มีท่าทีอันมีพิรุธเลย  ท่านวางตัวปกติเลย  ไม่ใช่ปากว่าไปแล้วก็ตาขยิบมาหาเรา  ไม่ใช่เลย  หลวงพ่อชาไม่ได้เป็นอย่างนั้น  อันนี้เราประทับใจ ต้องประทับใจอย่างนี้  ที่เราได้เกี่ยวข้องที่เราได้อยู่ร่วมเป็นลูกศิษย์ปรนนิบัติรับใช้หลวงปู่ชา เราถือว่าช่วยท่านให้ท่านบริหารลูกศิษย์ลูกหาให้มีพระมีสงฆ์อยู่ได้  บวชเข้ามาแล้วก็ใส่ใจพระกรรมฐาน ตั้งใจอยู่อย่างจริงจัง ไม่ต้องสึกไป  เรามีผังในความรู้สึกเป็นอย่างนั้นนะ  ให้มีพระอยู่กับท่านมากขึ้น  หลายองค์ขึ้น  มิฉะนั้น ใครก็สึก ใครก็สึก  ก็จะเหลือแต่เณรฑูรย์กับท่านอาจารย์ชาออกบิณฑบาต สะพายบาตรตามหลังกันแค่นั้น  ทำไงหนอเราจะได้เพื่อน..เพื่อนสหธรรมิกคือภิกษุหรือสามเณร  เราก็หาวิธีที่จะเจาะช่วยท่านในบางอย่าง  นี่คือเหตุผลที่เราทำอย่างนั้น  ที่เราไปกราบเรียนท่าน  นี่..เราประทับใจ  ประทับใจอย่างนี้
            แล้วสิ่งที่เกี่ยวข้องต่อมาคือธรรมะที่ท่านเทศน์ท่านสอน  ท่านบึกบึน  อดทน  เอาจริง  พูดจาห้าวหาญ  เฉียบแหลม  เผ็ดร้อน  ไม่ใช่เผ็ดมัน  เผ็ดนี่มันต้องร้อนนะ  หวานสิมันถึงจะมัน  เผ็ดมัน..ไม่ใช่แล้ว  มันต้องเผ็ดร้อน  หวานมัน  อย่างนี้มันถึงจะตรงกับความเป็นจริง  ท่านไม่ได้เทศน์แบบหวานมัน  แต่ท่านเทศน์แบบเผ็ดร้อน  ในยุคนั้นทั้งเผ็ดทั้งร้อน  นี่..เราก็ประทับใจ  ใครจะไม่ประทับใจ  เราก็ประทับใจเอง  เราก็ประทับใจตั้งแต่โน้นมา  พอใจ  กระหยิ่มอยู่ในความรู้สึกเวลาที่หลวงพ่อเทศน์หนักๆ เทศน์เผ็ดๆ ร้อนๆ  นี่เราพอใจเลย  เราเป็นกองเชียร์อยู่ข้างหลัง  เอาเลยหลวงพ่อ  เอ้อ..เอาอย่างนั้นแหละหลวงพ่อ  เอ้า..หวดเข้าไปเลยหลวงพ่อ  เอ้อ..เอามันอย่างนั้นแหละหลวงพ่อ  เราก็เป็นกองเชียร์อยู่อย่างนี้  พอใจที่ท่านเทศน์แบบเผ็ดร้อน  มันถูกใจเรานะ  ถ้าไม่เผ็ดพอ ไม่ร้อนพอ มันชนะกิเลสไม่ได้  นี่..เราประทับใจอย่างนี้  เขียนให้เราหน่อย  เขียนลงไปเลย  เราประทับใจ  กล้าไหม  เขียนลงไปเลย  ถ้าไม่กล้านี่แสดงว่าไม่รักไม่บูชาหลวงปู่ชาจริงหรอก  เพราะว่าเราพูดของจริง  ยังเบนหนี  ยังเบี่ยงหนี  เหมือนกับทางเบี่ยง  พอเขาจะสร้างสะพานที่ไหนเขาก็มีทางเบี่ยง  เบี่ยงหนีไปเลย  เบี่ยงเบนหนี  อันนี้ไม่ไปหรอกมันทางตรง ต้องเบี่ยงไป  กล้าเขียนลงไหม  หรือจะเบี่ยงเบนหนี  ก็ลองดู  เราจะพูดความจริงสู่ฟังว่าหลวงปู่ชาเป็นยังไง  ขณะฟังเทศน์หลวงปู่ชานี่  พระนั่งเหมือนตอ  นั่งเหมือนตุ๊กตาเลย  เพราะว่าท่านห้าวหาญ  แสบเผ็ด  เผ็ดร้อน 
            คำพูดแต่ละเรื่องที่ท่านเทศน์ออกมา  ยกตัวอย่างก็ได้ เช่น พวกคุณมาอยู่กับผมนี่  ผมไม่ได้นิมนต์มาสักองค์เดียว  ผมไม่ได้เชื้อเชิญคุณมา  ไม่ได้เชื้อเชิญ  ไม่ได้นิมนต์  ก็คุณมาด้วยศรัทธา  ถ้ามาแล้วทำความเดือดร้อน  มาสร้างความยุ่งยากให้ผม  ถ้าทำอย่างนี้  อย่าอยู่ดีกว่า  หนีไป  จะไปเวลาไหนก็ไป  ถ้าจะอยู่ต้องเอาจริง  ต้องทำกันจริง ๆ  มาทำเหลาะแหละแบบนี้ไม่ได้  ข้อวัตรมียังไง  สิกขาบทบัญญัติมียังไง  กติกาของสงฆ์ตั้งขึ้นมียังไง  ต้องเอาจริง  บอกให้งดสูบบุหรี่ก็ต้องงดจริงๆ  เลิกจริงๆ  ทำให้มันจริงลงไป  ถ้าไม่จริง  อย่าอยู่  ไป..อย่าอยู่ให้มันหนักวัดผม  เพราะว่าผมไม่ได้เชื้อเชิญคุณมา  คุณมาเอง  ทำไม่ได้ก็อย่าอยู่เลย  นี่คือยกตัวอย่างว่าเผ็ดอย่างไร  ร้อนอย่างไร  ท่านพูดแบบหนักๆ ห้าวๆ เลย  ดูหน้าก็ไม่ใช่ญาติ  ไม่ใช่พ่อ  ไม่ใช่แม่  ไม่ใช่ลูก  ไม่ใช่หลานผมสักคนเดียว  ท่านพูดเหี้ยมจริงๆ  หนักจริงๆ  นี่คือยกตัวอย่างให้ดู  นี่..ประทับใจไหม หรือว่าหมอบแล้ว คลานแล้ว  หรือว่าประทับใจ  ประทับใจหลวงปู่ชาอย่างนี้ประทับได้หรือเปล่า  ลองดู  นี่คือพูดของจริงสู่กันฟัง 
            เพราะฉะนั้น พระรุ่นเก่าๆ นี่  ถ้ารุ่นใหม่มอง..ถ้าเป็นนักคิดนักสังเกตการณ์จะเห็นว่าพูดอะไรตรง  แล้วก็รุนแรง  ศิษย์รุ่นเก่าๆ ของหลวงปู่ชา..นี่ลองดู  ถ้าหากหลวงปู่เที่ยงกับหลวงปู่จันทร์ยังอยู่นะ  โอ๊ย..น่าดูเลย  นั่นแหละรุ่นเก่าแท้  แต่ท่านมรณภาพไปหมดแล้วหรือตายไปแล้ว  สององค์นี้อยู่ก่อนเรา  อยู่ก่อนเราสองปี  แต่ทั้งสององค์ก็ไม่ได้บวชกับวัดหนองป่าพง  ทั้งหลวงปู่เที่ยง  หลวงปู่จันทร์ (อินทวีโร)  ไม่ได้บวชที่หนองป่าพง  ท่านมาจากวัดบ้าน  ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ที่เกิดกับหลวงปู่ชา  ไม่ได้เป็นลูกที่เกิดกับพ่อแม่อย่างแท้จริง  แต่เป็นลูกเลี้ยง  หลวงพ่อเที่ยงเป็นลูกเลี้ยง  หลวงพ่อจันทร์เป็นลูกเลี้ยง  ถ้าไม่มองว่าเราอวดตัวเองมากไปก็คือว่าเรานี่แหละเป็นผู้เกิดกับหลวงปู่ชา  เป็นลูกที่ออกจากหลวงปู่ชาอย่างแท้จริง  คือเราบวชที่นั่นที่วัดหนองป่าพง  เราไม่ได้มาจากวัดอื่น  ไม่ได้เป็นเณรมาจากวัดอื่น  ไม่ได้เป็นพระมาจากวัดอื่น  หลวงพ่อชาบวชให้อยู่ที่นั่น  อยู่ในวัดหนองป่าพงตั้งแต่สมัยยังเป็นที่พักสงฆ์อยู่เลย  เราบวชเป็นสามเณรที่นั่น  แต่พอจะอุปสมบทเป็นพระมันไม่มีเสมาที่ถูกต้องตามระเบียบการทางคณะสงฆ์ไทย  มันต้องเข้าโบสถ์มีพัทธสีมา  ก็เลยต้องไปบวชวัดอื่น  นี่คือข้อมูลที่แท้จริงมันเป็นอย่างนั้น
            เพราะฉะนั้น  ในสมัยก่อนมันเผ็ดร้อน  ไม่ใช่หวานมัน  คนทั้งหลายชอบหวานมัน  ใครไม่ชอบหวาน  ใครไม่ชอบมัน  เผ็ดขม..มีใครชอบ  เผ็ดร้อน..มีใครชอบ  ไม่ค่อยชอบหรอก  เพราะว่ามันเผ็ดมันร้อน  คนทั้งหลายเขาชอบหวานมัน  นี่ถ้าสังเกตการณ์ก็จะเห็น  พูดถึงหลวงปู่จันทร์..ก็มีครั้งหนึ่ง  มีคนเมาสองคนเข้าไปวัดหนองป่าพง  ตอนนั้นหลวงปู่จันทร์ท่านกำลังซ่อมตะเกียงเจ้าพายุอยู่  มันขัดข้องชำรุด  เราเป็นเณรใหม่ก็อยู่รับใช้ท่านที่นั่น  ไอ้คนขี้เมามันมาถามมาคุยธรรมะกับท่าน  โอ๊ย..ท่านพูดอย่างรุนแรงเลย  เราก็คิดอยู่ว่า..หลวงพ่อจะไปพูดกับมันทำไม คนขี้เมามันไม่รู้เรื่องหรอก  แต่เราไม่ได้พูดออกมาหรอก  พูดกันเหมือนกับคนทะเลาะ คนจะต่อยกัน  เราก็คิดว่า..พระองค์เดียวกับโยมสองคน  มันจะสู้ได้ไหมหนอ  เราก็เตรียมพร้อมไว้  พอดีมีระฆังแขวนอยู่กิ่งต้นเค็ง  ก็เรานี่แหละเอาไปแขวนไว้  มันไม่มีหอระฆัง  มันก็มีค้อนตีระฆังขนาดใหญ่เท่าแขน ยาวประมาณครึ่งวา  เราก็เหลียวมองหาเตรียมพร้อมไว้  ถ้ามันตีหลวงพ่อกู  กูจะช่วยหลวงพ่อยังไง เอ้อ..มีค้อนอยู่ตรงนั้น  กูจะหวดมันเลย  จะช่วยหลวงพ่อ  ถ้ามันต่อยหลวงพ่อกู  กูจะเอาค้อนตีมันเลย  เราก็วางผังไว้  แต่แล้วมันก็ไม่เกิดอะไรหรอก  ก็ผ่านไป  นี่คือยกตัวอย่างว่าสมัยนั้นรุนแรงขนาดไหน  แสบเผ็ดขนาดไหน  ยุคก่อน..หลวงพ่อชาท่านพูดแบบอย่างนั้นเลย  ท่านจะว่าตรงๆ ผาง..ผาง..เข้าไปเลย ไม่รีรอ  เพราะว่าท่านกำลังทำความเพียร ท่านกำลังเล่นกับกิเลส กำลังต่อยกับกิเลสแบบสดๆ ร้อนๆ  พอใครไปใกล้ท่าน ท่านก็พูดยังกับจะฆ่ากิเลสในบัดนั้นเลย  นั่นคือพระยุคก่อนเป็นอย่างนั้น  นี่..เราประทับใจ  ประทับใจอย่างนั้น 
            ถ้าอ่อนแอปวกเปียกมันก็เหมือนกับกินแต่ของหวานของมัน  ลองดูสิ  พระที่ไม่ต่อสู้กับกิเลสอย่างเจ้าอาวาสทั้งหลายนี่สึกไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว  ๑๐ กว่าพรรษาก็สึก  ๒๐ กว่าพรรษาก็ยังสึก  ไม่ว่าพระไทย-พระฝรั่ง ก็สึกกันทั้งนั้น  เพราะว่าประเล้าประโลมพะเน้าพะนอกับญาติโยม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งโยมผู้หญิง  โยมที่เขาเลื่อมใส  เขาศรัทธา อุปถัมภ์ อุปัฏฐาก  เอานั้นมาให้ เอานี้มาถวาย  แล้วก็ทำท่าฟังธรรม ปรึกษาธรรมะ ศึกษาธรรมะ  อาจารย์ไหนก็ไม่สู้อาจารย์ของตัวเอง  อาจารย์ไหนก็ไม่เคร่งเท่ากับอาจารย์ของตัวเอง  อาจารย์ไหนก็ไม่น่าเลื่อมใสเท่ากับอาจารย์ของตัวเอง  นี่มันมีลักษณะอย่างนี้  ตอนเช้า..อาหารดีๆ ก็จัดเตรียมมาให้อาจารย์  ตอนบ่าย..น้ำปานะอะไรที่อาจารย์ชอบ  เอามาให้  มาปรนนิบัติดูแลอย่างดีเลย  นี่คร่าวๆ คือเป็นรูปลักษณะอย่างนี้  พระนี่ตายกันไปมากแล้ว  เจ้าอาวาสทั้งหลายตายไปมากแล้ว  ขนาดเป็นพระครู เป็นเจ้าคณะตำบล ก็ตายเพราะเรื่องอย่างนี้  หรือเรื่องคล้ายๆ อย่างนี้  นี่..สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้น่าประทับใจ 
            เราประทับใจที่หลวงปู่ชาท่านก็เคยไปเจอเข้าเหมือนกัน แต่ท่านก็หนีไป ท่านไม่ออเซาะกับผู้หญิงทั้งหลาย  กับคนทั่วไปท่านวางตัวเสมอภาคกันทั้งหมด  นี่..เราประทับใจหลวงพ่ออย่างนี้  ส่วนเรื่องธรรมะระดับสูงนั้น..วันนี้เวลาไม่พอ  ก็เอาแค่นี้ก่อน  ถ้ายังไงหากปลูกฝังรักษาต้นมันให้ดีแล้วมันก็จะออกดอก  ออกผล  ตามมาภายหลัง  เป็นสัจธรรม  เป็นหน้าที่ของมันเองที่จะเป็นอย่างนั้น  เพราะฉะนั้น หมดเวลาจึงขอยุติที่จะปรารภว่าประทับใจอะไรกับหลวงปู่ชา  ที่ได้อยู่กับหลวงปู่ชามาก่อนใครๆ  สำหรับหลวงพ่อไพฑูรย์ก็ประทับใจหลวงปู่ชาในหลายๆ อย่าง ดังที่กล่าวมานี้เอง